วันนี้เราจะพาไปเปรียบเทียบผลงานของแข้ง 11 ตัวจริง “หงส์แดง” ในชุดคว้าแชมป์ลีกครั้งล่าสุดสมัยยังเป็น ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1989/90 ของกุนซือ เคนนี่ ดัลกลิช กับ 11 ตัวจริงฤดูกาลนี้ภายใต้การนำทัพของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นอย่างไรไปติดตามกัน
ผู้รักษาประตู
บรูซ กร็อบเบลาร์ – 38 นัด 12 คลีนชีต
นายทวารชาวแอฟริกาใต้เป็นอีกหนึ่งตำนานของ “หงส์แดง” หลังเฝ้าเสาในถิ่นแอนฟิลด์ 14 ปี ช่วยทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ถึง 6 สมัย โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในฤดูกาล 1989-90 และในปีนั้นเขาช่วยทีมเก็บคลีนชีตได้ 12 ครั้ง โดยมีสถิติลงเล่นให้สโมสรทั้งสิ้น 628 เกมทุกรายการ
อลีสซง เบ็คเกอร์ – 22 นัด 12 คลีนชีต
การย้ายมาของนายด่านชาวบราซิลกลายมาเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญช่วยให้ ลิเวอร์พูล เสียประตูยากขึ้น โดยมายึดมือ1 แทน ลอริส คาริอุส โดยในฤดูกาลนี้เจ้าตัวต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่ก็กลับมาเรียกฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง มีส่วนสำคัญช่วยทีมเถลิงแชมป์ได้ในซีซั่นนี้ และหากยังรักษาฟอร์มเก่งได้ในระยะยาวการที่จะเดินตามรอยตำนานอย่าง บรูซ กร็อบเบลาร์ คงไม่ใช่เรื่องยาก
แบ็กขวา
แบร์รี่ เวนิสัน – 25 นัด 3 แอสซิสต์
แบ็กขวาชาวอังกฤษย้ายจากซันเดอร์แลนด์มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 1986 และอยู่ในชุดช่วยทีมคว้าแชมป์ ลีกครั้งล่าสุด ก่อนจะอำลาทีมไปในปี 1992
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ – 31 นัด 3 ประตู 12 แอสซิสต์
แม้จะเพิ่งอยู่ในวัยเพียง 21 ปี แต่เจ้าตัวกลายเป็นเพชรเม็ดงามของ ลิเวอร์พูล ที่ฉายแววเด่นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเปิดบอลที่เป็นจุดเด่นของเจ้าตัว จากสถิติทำไปแล้ว 12 แอสซิสต์ในซีซั่นนี้ตอกย้ำความสุดยอดของเจ้าหนูรายนี้ได้เป็นอย่างดี กลายเป็นส่วนสำคัญทั้งเกมรับและเกมรุกในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไปเรียบร้อย
เซ็นเตอร์
อลัน แฮนเซ่น – 31 นัด
เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลสุดท้ายอันยาวนานของดาวเตะเลือดสกอตเขายังคงเป็นส่วนสำคัญให้กับทีมช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาล 1989-90 ก่อนจะยุติอาชีพการค้าแข้งในปีถัดมา หลังอยู่กับทีมมายาวนานถึง 13 ฤดูกาล
โจ โกเมซ – 21 นัด
เดิมทีเจ้าของตำแหน่งตัวจริงในปราการหลังตัวกลางนั้นเป็นของ โฌแอล มาติป ที่ยืนจับคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์แต่ด้วยความที่ดาวเตะชาวแคเมอรูนโดนอาการบาดเจ็บรบกสนต่อเนื่องทำให้โอกาสส่วนใหญ่ตกเป็นของ โกเมซ ที่ยึดตัวจริงแทนและก็ทำผลงานได้ไม่เลวเลยทีเดียวในซีซั่นนี้
เกล็นน์ ไฮเซ่น – 35 นัด 1 ประตู
หลังจากแนวรับชาวสวีเดนย้ายจากฟิออเรนติน่า มาร่วมทัพ “หงส์แดง” ในปี 1989 เจ้าตัวก็กลายเป็นกำลังสำคัญพร้อมสามารถคว้าแชมป์ร่วมกับทีมได้ในทันที ก่อนจะอำลาทีมไปในปี 1992
เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ – 31 นัด 4 ประตู
ลิเวอร์พูลต้องทุ่มเงินมหาศาลถึง 75 ล้านปอนด์ ให้กับเซาธ์แฮมป์ตันเพื่อเป็นค่าตัวของกองหลังชาวดัตช์ และทำ
ให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิติค่าตัวกองหลังที่แพงสุดในประวัติศาสตร์ในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามเขาใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวเข้ากับทีมใหม่กลายมาเป็นกุญแจสำคัญไขเกมรับให้แน่นขึ้นทันตา
เห็น อ่านเกม และเล่นลูกกลางอากศได้อย่างยอดเยี่ยม จนกลายมาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีสุดในโลก และเป็นส่วนสำคัญพาทีม
เถลิงแชมป์ในฤดูกาลนี้
แบ็กซ้าย
สตีฟ สตอนตัน – 20 นัด 3 แอสซิสต์
หลังจากแข้งชาวไอริชกลับมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล อีกครั้งในปี 1988 หลังจากนั้นฤดูกาลถัดมาก็อยู่ในชุดพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จแม้จะได้ลงเล่นเพียง 20 เกมในลีกก็ตาม
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – 29 นัด 1 ประตู 8 แอสซิสต์
แบ็กจอมบู๊ชาวสกอตกลายเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าของ เจอร์เก้น คล็อปป์ หลังคว้าตัวมาจากฮัลล์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวเพียง 8ล้านปอนด์ ในปี 2017 แต่เจ้าตัวพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาจนกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมไปเรียบร้อย พร้อมกับมีทีเด็ดอยู่ที่การเติมเกมรุกและลูกครอสที่แม่นยำ
กองกลาง
สตีฟ แม็คมาห์น – 38 นัด 5 ประตู 2 แอสซิสต์
มิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติอังกฤษจับคู่ในแดนกลางร่วมกับ รอนนี่ วีแลน ได้อย่างยอดเยี่ยม และได้ลงเล่นครบ 38 เกมในลีก ก่อนจะย้ายไปอยู่กับแมนฯ ซิตี้ ในปี 1991
ฟาบินโญ่ – 22 นัด 2 ประตู 2 แอสซิสต์
แม้ดาวเตะชาวแซมบ้าจะแทบไม่มีโอกาสลงสนามในช่วงแรกที่ย้ายมาจาก โมนาโก ในปี 2018 แต่หลังจากปรับตัวได้เขาก็มายึดตำแหน่งตัวจริงในแดนกลางได้สำเร็จเป็นนักเตะที่ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระของทีมและได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมากในฤดูกาลนี้
รอนนี่ วีแลน – 34 นัด 1 ประตู 4 แอสซิสต์
มิดฟิลด์เลือดไอริชรับใช้ ลิเวอร์พูล มานานถึง 15 ปี โดยคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ร่วมกับทีมได้ถึง 6 สมัย ก่อนจะอำลาทีมไปในปี 1994
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – 27 นัด 3 ประตู 5 แอสซิสต์
ดาวเตะทีมชาติอังกฤษกลายเป็นหัวใจในแดนกลางของ ลิเวอร์พูล ในยุคปัจจุบัน และเป็นผู้เล่นที่มีสถิติลงสนามมากสุดให้กับทีมในช่วงทศวรรษนี้ และกลายเป็นแข้งประวัติศาสตร์คนแรกที่จะนำทีมชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล
สตีฟ นิโคล – 23 นัด 6 ประตู 4 แอสซิสต์
อดีตดาวเตะเลือดวิสกี้เป็นแข้งสารพัดประโยชน์ที่สามารถเล่นได้เกือบทุกตำแหน่งในเกมรับ โดยมีทั้งความแข็งแกร่งและความฟิตที่วิ่งไม่มีหมด โดยอยู่กับทีมถึง 13 ฤดูกาล
จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม – 30 นัด 3 ประตู
ดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์กลายเป็นกำลังหลักในแนวรุกให้ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ย้ายมาจาก นิวคาสเซิ่ล ในปี 2016แม้จะไม่ได้ทำประตูเป็นกอบเป็นกำแต่จากการที่เล่นได้เข้าระบบของกุนซือชาวเยอรมันทำให้ทั้ง นาบี้ เกอิต้า หรือ อเล็กซ์อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ยังต้องรอโอกาสที่ม้านั่งสำรองไปก่อน
แนวรุก
จอห์น บาร์นส์ – 34 นัด 22 ประตู 12 แอสซิสต์
หนึ่งในแข้งระดับตำนานที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล คงจะตัดชื่อของ บาร์นส์ ออกไปไม่ได้ โดยปีกซ้ายนิลกาฬอยู่กับทีมถึง 10 ฤดูกาล พาทีมกวาดแชมป์มากมาย และเป็นกำลังสำคัญให้ทีมชุดคว้าแชมป์ลีกครั้งล่าสุดในซีซั่นดังกล่าวเจ้าตัวซัดไป 22 ประตูในลีก
ซาดิโอ มาเน่ – 28 นัด 15 ประตู 7 แอสซิสต์
หลังดาวยิงชาวเซเนกัลโชว์ผลงานยอดเยี่ยมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน จนถูก ลิเวอร์พูล คว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2016ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ก่อนจะกลายมาเป็นกำลังสำคัญอันดับต้นๆในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ โดยในซีซั่นนี้ดาวเตะวัย 28 ปี ก็ยังรักษาฟอร์มเก่งในอย่างต่อเนื่องจากซีซั่นที่แล้ว โดยถึงตอนนี้ซัดไปแล้ว 15 ประตู
ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ – 29 นัด 10 ประตู 9 แอสซิสต์
อีกหนึ่งดาวยิงระดับตำนานของ ลิเวอร์พูล เป็นส่วนสำคัญในแนวรุกประสานงานกับ จอห์น บาร์นส์ ได้อย่างลงตัวสุดๆในยุคนั้นเลย
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ – 31 นัด 8 ประตู 7 แอสซิสต์
แม้จะไม่ได้ยิงประตูถล่มทลายตามแบบฉบับกองหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าตัวเป็นแข้งคนสำคัญต่อแผนของ คล็อปป์ อย่างมากที่สามารถประโยน์ให้กับเพื่อนร่วมทีมในการผลิตสกอร์ได้เป็นอย่างดี
เอียน รัช – 36 นัด 18 ประตู 7 แอสซิสต์
สุดยอดดาวยิงระดับพระกาฬของ ลิเวอร์พูล ตัวจริงคงจะเป็นใครไปไม่ได้ หลังจากดาวยิงชาวเวลส์ยังเป็นแข้งที่ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของ “หงส์แดง” และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถทำลายสถิตินี้ลงได้ตอกย้ำความเป็นสุดยอดนักเตะในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 27 นัด 17 ประตู 7 แอสซิสต์
ปีกชาวอียิปต์กลับมาแจ้งเกิดได้ในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งกับ ลิเวอร์พูล หลังเคยมาล้มเหลวกับเชลซีในตอนแรก แม้ในฤดูกาลนี้ผลงานของ “บัง โม” จะโดนวิจารณ์ว่าดร็อปลงไปกว่าเดิม แต่เขาก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ “หงส์แดง” ขาดไปไม่ได้ จากการเป็นดาวซัลโวประจำทีมอยู่ในตอนนี้
